วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สมัยใหม่

สังคมไทยสมัยใหม่
ความเจริญทางด้านการค้า การเห็นคุณค่าของการศึกษาหาความรู้และความสนใจรับวิทยาการจากตะวันตกของชนชั้นนำและสามัญชนในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้า มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ได้มีการพัฒนาด้านสังคมและประเพณี เพื่อความทันสมัยการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและปฏิรูปสังคมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยการเลิกระบบไพร่และการยกเลิกระบบทาส

การเลิกระบบไพร่ ไพร่มีความสำคัญทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองการปกครองของไทยดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการดึงการควบคุมกำลังจากขุนนางเจ้านายมาสู่พระมหากษัตริย์โดยให้มีการจัดทำสำมะโนครัวแทนการสักข้อมือ พระราชบัญญัติเปลี่ยนวิธีเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ.116 (พ.ศ.2441) ซึ่งลดเงินค่าราชการที่เก็บจากไพร่จากปีละ 18 บาท ให้เป็นปีละ 6 บาท และเปลี่ยนการควบคุมไพร่จากมูลนายมาให้ท้องที่ที่ไพร่อาศัยอยู่เป็นผู้ดูแลแทน พระราชบัญญัติเกณฑ์จ้าง ร.ศ.119 (พ.ศ.2444) เป็นการทำลายลักษณะของระบบไพร่ คือ ให้เลิกการเกณฑ์แรงงาน ไพร่เป็นอิสระในการประกอบอาชีพและเลือกที่อยู่อาศัยซึ่งนับว่าเป็นการคลี่คลายวิธีการเกณฑ์แรงงานตามระบบไพร่ และสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราซึ่งกำลังขยายเข้ามาในประเทศไทย และพระราชบัญญัติเก็บค่าราชการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2445) กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเสียเงินค่าราชการคนละ 6 บาท เป็นอย่างสูงทั่วราชอาณาจักร นับว่าเป็นการทำลายระบบมูลนาย

ใน พ.ศ. 2448 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ.124 โดยกำหนดให้ชายฉกรรจ์ที่ได้รับเลือกและมีอายุ 18-20 ปี เป็นทหารประจำการอยู่ 2 ปี แล้วปลดเป็นกองหนุนมีภาระหน้าที่ฝึกซ้อมทุกปีเป็นเวลา 15 ปี แล้วปลดพ้นจากการเสียเงินค่าราชการตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกต้องเสียเงินค่าราชการตามอัตราที่กำหนดของท้องถิ่นตน พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ทยอยประกาศใช้ทีมณฑลจนครบทั่วราชอาณาจักรในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการยุดติพันธะสังคมตามระบบไพร่ในสังคมไทยโดยปริยายและเป็นการนำประเทศไทยเข้าสู่สมัยใหม่ สามัญชนซึ่งเคยอยู่ในฐานะไพร่และทาสหันไปประกอบอาชีพชาวนา ชาวไร่ กรรมการ ช่างฝีมือ ลูกจ้าง เสมียน เป็นต้น

การเลิกระบบทาสได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกเรื่องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำเป็นขั้นตอนอย่างละมุนละม่อม ตั้งแต่ทรงออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท พ.ศ.2417 กำหนดให้ลูกทาสที่เกิดใน พ.ศ.2411 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ เกษียณอายุเป็นไท เมื่ออายุ 21 ปี ห้ามขายตัวเป็นทาสอีก ทรงปลูกฝังค่านิยมในการบริจาคเงินไถ่ทาสให้เป็นอิสระ ขยายการศึกษาและอาชีพโดยตั้งโรงเรียนให้ลูกทาสที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะสมัครใจเข้าเรียนและจะปล่อยให้เป็นไท ประกาศพระราชบัญญัติเลิกทาสในมณฑลพายัพ พ.ศ.2443 พระราชบัญญัติเลิกทาสในมณฑลบูรพา พ.ศ.2447 และในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2448 ได้ประกาศพระราชบัญญัติเลิกทาสทั่วราชอาณาจักร พวกที่ซื้อขายทาสจะถูกลงโทษตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.2451

การเลิกทาสและไพร่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปลดปล่อยให้พันจากพันธะทางสังคมในรูปแบบ ศักดินา เพื่อเป็นการพัฒนารองรับการปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัยแบบตะวันตก

ในด้านการศึกษา การที่วัฒนธรรมและวิทยาการตะวันตกได้หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทยพร้อมกับการเข้ามาของชาวตะวันตกได้ถ่ายทอดความรู้ด้านต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการเทคโนโลยีตะวันตกเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาแบบเดิมซึ่งอิงอยู่กับวัด วัง และบ้าน ขุนนางเจ้านายมาเป็นการศึกษาในระบบโรงเรียนตามแบบแผนตะวันตก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป และขยายไปทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีการตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเพื่อฝึกหัดข้าราชการ ซึ่งต่อสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนราชแพทยาลัย ซึ่งต่อมาเป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และมหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ โรงเรียนกฎหมาย ฯลฯ ล้วนเป็นการพัฒนาคุณภาพของคนทั้งสิ้นผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สมัยใหม่ไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น